เนื่องจากช่วงนี้ เริ่มอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตตัวเองขึ้นมาบ้างแหละ

เริ่มต้นจากการที่มองเห็นคนรอบๆตัวเริ่มได้ดิบได้ดีกัน เลยคิดว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องมานั่งทบทวนตัวเองดีๆว่า เอ้อ ความฝันตอนนี้เป็นยังไง มีอะไรที่ทำสำเร็จแล้วบ้างไหม

แล้วอยากจะสู้ยังไงต่อดีหลังจากนี้

เรา อายุ 27 แล้วในปีนี้ หลังจากที่เรียนจบแบบปกติ ตอน 23 ไปๆมาๆ
ก็เพิ่งรู้ตัวว่า เวลาผ่านไป 4 ปีแล้ว โคตรไว

ยังจำความรู้สึกตอนที่มีเป้าหมายในชีวิตเป็น shot shot ได้อยู่เลย

ตั้งแต่จำความได้ตอนเด็กๆ เราชอบร้องเพลงมากๆ ชอบเล่นดนตรี เลยตั้งเป้าไว้ว่า เราอยากจะชนะ และเป็นที่ยอมรับในเรื่องการร้องเพลงของเราให้ได้ ตอนประถมเลยหัดร้องเพลง และได้แชมป์ตอน ป.4 ในที่สุด , เริ่มไปร้องเพลงในวง ไปๆมาๆเริ่มเข้าสู่วงการเปียโนคลาสสิค และได้ไปแข่งรอบสุดท้ายในรายการระดับประเทศสำเร็จ

พอมองย้อนไปตอนนั้น

การที่จะทำอะไรให้ดีได้ ที่ผ่านมาในชีวิตเรา เรารู้สึกว่า มันต้องประกอบด้วยองค์ประกอบแนวๆนี้

  1. ทำอะไรแล้ว ทำได้คล่อง พอที่จะหาจุดเริ่ม จุดต่อเองได้ เริ่มกล้าลุยด้วยตัวเองก่อน
    - แม่บอกขึ้นเวทีไปร้องเพลงก็ไม่เห็นเป็นไร, ป๊าบอกลองๆทำไปเถอะถ้ามันไม่ทำให้ตาย
  2. ทำแล้ว
    "มีคนชมว่าทำดี" - นายเล่นเปียโนเพราะว่ะ,
    "มีคนยอมรับว่ามีแวว" - เตอร์น่าจะลองลงแข่งดูนะ คนอื่นยังไม่ได้ระดับนี้เลย
    "มีจุดยืนในการเริ่มต้นที่ Outstanding ระดับนึง" - เชี่ย น้องคนนี้อายุน้อยมาก แต่เล่น,ร้องได้ดีเกินวัยจริงๆ
  3. เกิด ข้อ 1 ข้อ 2 แล้ว มันจะเริ่ม Push ให้เราเริ่มทำการบ้าน
    ซ้อม + พัฒนาตัวเอง (ด้วยตัวเองจริงๆ)
  4. เจอ Mentor ที่ดีในเวลานั้น - เราเรียนเปียโนกับครูที่เข้าใจเรา , ครูคุมแข่งวงที่ push เราเป็น , พี่ที่ Lab ที่คอยสอนเราเรื่องหุ่นยนต์

องค์ประกอบที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกันแบบนี้
แม่งคือ "ความเหมาะเจาะพอดี" - สิ่งนี้สินะที่เรียกว่า "ดวง"
เพราะถ้าไม่เจออะไรทำนองนี้พร้อมๆกัน ก็คงจะเป็นหลายๆอย่างในชีวิตที่เราไม่ได้ทำต่อ
เช่น ตัดต่อ VFX ที่เคยทำได้ดีมากๆ, ร้องเพลงที่เคยได้รางวัล top 3 ตลอด (หยุดร้องไปตอน ม.3 มั้ง) , นักฟุตบอลตัวจังหวัด และ อะไรอีกหลายๆอย่าง ที่เคยทำได้ดีบ้าง แต่ไม่มีคนเห็นหรือยอมรับ ไม่ก็ไม่มีอาจารย์ที่เข้าใจและพร้อมสอนเราให้เก่งขึ้นจริงๆ - ทั้งหมดนี้ไม่ได้พูดถึงว่าเรากากเลยนะ แย่ไหม 55555

เพราะเราเชื่อว่า ถ้าเราพยายามพอ แม่งก็ต้องเก่งได้แหละ ให้เวลากับมัน - ทุกคนย่อมมีช่วงเวลายู่ๆ เหี้ยๆกันหมด เดาะบอลเงี่ย เตะได้ ทีเดียวลูกหาย

เปียโนที่เล่นได้โอเค(มั้ง) จนถึงทุกวันนี้
อยากจะบอกว่าตอน ประถม ซ้อมเปียโนสุดสัปดาห์แทบจะทั้งวัน
และทุกเสาร์อาทิตย์เลย ตื่นแปดโมงมานั่งเล่นถึง5 โมงเย็น ซ้อมหูบ้าง(เลียนแบบรายการเทส Perfect pitch ที่พี่โต๋ไปออก) หัดไล่สเกล แกะเพลง Demo เครื่อง
มีเริ่มหัดผสมเสียงทำเพลงมากขึ้น ครูที่โรงเรียน เริ่มบอกว่า หัดแกะเพลงสากล เพลงPopมาแสดงด้วยก็ดี เด็กประถมคนนึงเริ่มได้โอกาสเล่นสดมากขึ้น คนเริ่มยอมรับว่าโอเค

ม.ต้น เล่นดนตรีค่อนข้างที่จะโดดเด่น เพราะแกะเพลงไวมากตอนนั้น และก็มีความมั่นใจ(เกินไป) ในการลุยอะไรหลายๆอย่าง ทำให้เราเก่งขึ้นไวพอสมควรเลย เคยไปเล่นให้วงใหญ่ๆ และพี่ๆเค้าก็ชอบ ก็เลยคิดว่าอยากจะโดดเด่นด้านดนตรีไปเลย แชมป์ดนตรีไป

รอยต่อระหว่างนั้น ก็ได้ลองมาเล่นมาทำหุ่นยนต์ ก็อยากจะให้อะไรมันสุดๆไป ครู, เพื่อนและทีมก็มีใจจะลุย + มีความรู้มาดึงเราให้รู้เรื่องขึ้นเรื่อยๆจนค้นคว้าต่อเองได้ ก็ได้ไปแข่งขันรอบลึกๆและมีโอกาสได้ลองเป็นตัวแทนประเทศบ้าง

ม.ปลาย เรียนได้เกรดโอเค ทำคะแนนฟิสิกส์ได้ดี มีแววว่าจะสอบได้ที่ดีๆตอนนั้น ก็เลยมุ่งมั่นจะมาเรียนจุฬาเลย - ต้องขอพูดแบบความเชื่อสมัยก่อนๆนะ ว่าเราคิดว่าที่นี่เป็น Top Notch ที่ต้องไต่จริงๆ ในมุมเด็ก ม ปลาย - ช่วงนั้นก็อ่านหนังสือหนักมาก มี GOAL เดียวเท่านั้น พอได้คะแนนรวมดี ยื่นติด มันก็รู้สึกดีมากๆ คนก็เริ่มยอมรับว่าเราก็มีดีบ้าง

การวางเป้าหมายทีละเรื่อง - มันก็ Push เรามาไกลเหลือเกิน :)

ตอนนี้มีอะไรที่อยากทำไปหมดเลย อยากจะจัด Priority แต่ก็รักพี่เสียดายน้อง


บ่นเป็นคนแก่เลยเชี่ยเอ้ย

ตอนนี้ เราเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทหุ่นยนต์แห่งนึง ที่หมดไฟในการพัฒนาตัวเอง เพราะบริษัทไม่ได้ Promote เราอย่างที่เราคาดหวังไว้ เราเลยเลือกที่จะหยุดขยันพัฒนาตัวเอง (ในแง่การทำงานเกินตัวและเสนอหน้ากับทุกๆเรื่อง) และทำงานเท่าที่ได้รับมอบหมายพอ ทั้งๆที่เราพยายามแสดงให้เห็นว่าเราทำอะไรได้บ้างมาตลอดตั้งแต่ตั้งบริษัทมา
สิ่งที่ไม่รู้ก็ไป Research มา ไปถามคนนอกมาบ้างเพื่อที่จะมาทำอะไรซักอย่างให้ออกมาสำเร็จ บางที่ก็ออกไปสำรวจตามบริษัทข้างเคียงโดยมี loyalty กับต้นสังกัดสุดๆ  
และนี่เป็นการตัดสินใจของเราเองแหละ ที่จะไม่ขยัน(หางานให้ตัวเอง)เพิ่มขึ้นแล้ว
(เพราะคงไม่ได้ Reward อะไรเพิ่มขึ้นอยู่ดี) แต่จะเอาเวลาตรงนั้นที่วางแผนจะใช้กับบริษัทมาพัฒนาตัวเองในแบบของเราเองน่าจะดีกว่า (สุดท้ายก็เรื่องหุ่นยนต์อยู่ดีแหละ 55555)

และเราเองก็ยังไม่เก่งพอที่จะทำทุกอย่างได้ทันทีตามที่บริษัทต้องการ เค้าเลยต้องจ้างคนที่ทำของเหล่านั้นได้เลย มากกว่าคนที่มีใจให้ (แต่ทำอะไรยังไม่เป็น)
เพราะยังไงเราไม่อยู่ บริษัทก็ไปได้อยู่ดี

บริหารเวลาที่หายไปยังไงดี

ตอนนี้เราอยากรู้เรื่องหุ่นยนต์มากขึ้นกว่าเดิม แต่ Foundation ของความรู้เรามันช่างล่องลอยเสียเหลือเกิน เลยคิดว่าน่าจะเริ่มจากกลับไปเรียน Linear Algebra ให้จบ และเรียน Multivariate Stat ให้รู้เรื่อง เพื่อที่จะอ่าน State Estimator ในศาสตร์ของ Robotics ให้รู้เรื่อง และลามไปถึง ความรู้เรื่อง SLAM ที่เป็นการ Optimize State Estimator ด้วยความรู้ต่างๆมากมาย

อยากไปเรียนเมืองนอก - ยกระดับภาษาอังกฤษ

อันนี้ต้องโทษตัวเองที่ไม่ยอมพัฒนาความรู้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ ม.2 ความรู้ในปัจจุบันที่ดูเหมือนจะเยอะ คือความรู้ที่ Freeze มาตั้งแต่ตอนนั้น ที่เรียนเกินชาวบ้านไปเยอะพอสมควร และมีอีโก้ในการเรียนเหลือเกิน เลยทำให้มึงดูเหมือนจะดี แต่ก็ไม่ได้รู้ลึกจริงๆมาตลอด กับภาษาเนี่ย แม้ว่าจะทำได้ในระดับใช้ชีวิตในต่างประเทศได้ เขียน Report ตอนไปแลกเปลี่ยนฝึกงานได้
แต่เราไม่ได้พัฒนาเลย

อ้าว แต่มันยังทำไม่ได้เลยตอนนี้นะ

เราเลยคิดว่าเราอยากกลับไปเรียนหุ่นยนต์ต่อที่ Lab ISL วิศวะคอมจุฬา ที่เราจบมา หลังจากอาจารย์ได้พูดตลอดว่า สุดท้ายก็ต้องกลับ Lab อยู่ดี ผมยอมละค้าบ - แวดล้อมในสถานที่อื่นๆที่เราไปสัมผัสมา มันไม่ได้ช่วงส่งเสริมให้เราเก่งในทาง Deep ขึ้นในเรื่องที่เราสนใจเลย ส่วนใหญ่จะเป็นการเอาความรู้ไปหาเงินเยอะๆมากกว่า เราไม่ได้ว่าในส่วนนั้น (ออกจะเจ๋งด้วยซ้ำ) แต่ตอนนี้อยากจะรู้ลึกๆเพื่อต่อยอดความรู้ที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้นมากกว่า

ตอนนี้ Trend โลกไปทางด้าน AI, Deep Learning , Fucking Buzzword แต่ก็แล้วไง

เราเองอยากจะทำหุ่นยนต์ แบบ Field Robotics อยู่แล้ว เรื่อง Autonomous Driving Car ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจในการทำ เราชอบด้านที่จะสกัดความรู้จากอุปกรณ์บนหุ่นเรายังไงให้ได้ตำแหน่งของหุ่น และจะขับหุ่นยนต์ยังไงไม่ให้มันชนข้าวของ ของสองสามอย่างนี้ น่าจะทำให้ได้อะไรดีๆที่จะใช้เรียน + ขายได้ ในอนาคตไหมนะ ?  . . . หลังจากนี้ต้องมาดูกัน

อยากจะทำให้ชีวิตดี อาจต้องลองเริ่มจากสุขภาพ

นอนดึก ตื่นสาย เครียด ลูป - อาจต้องนอนไวขึ้น เพราะหัวใจตอนนี้ Rest HR สูงเหลือเกิน(80-100) ไม่รู้ว่าจะกลับมาฟิตๆเหมือนตอน ม.ต้นได้ไหม ที่วิ่งแล้วหัวใจไม่เกิน 150-160 เลย(ตอนนี้แม่ง 180-200จะตายห่าจริงๆเอา)

เล่นเกมส์ - อันนี้ยังไม่อยากเลิกเล่นเลย แต่ต้องยอมรับว่าช่วงที่เลิก DOTA2 ไปตอนปี 3-4 นี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นมาก ช่วงที่ได้เรียนรู้เรื่องหุ่นยนต์เยอะๆ ก็คือช่วงนี้เลย - จะเลิกเลยมันก็เสียดายแหละ อันนี้ต้องว่ากันอีกที

แบ่งเวลาให้ดี - ก่อนหน้านี้เราทำอะไรเรามักจะไม่กำหนดเวลาตายตัวว่าจะต้องเสร็จภายในกี่ชั่วโมง ตอนนี้อาจต้องลองดูบ้าง แล้วถ้าทำให้จบไม่ได้ จะต้องมานั่งคิดละว่า ทำไมถึงทำไม่สำเร็จ เพื่อที่จะได้วางกลยุทธใหม่


จริงๆอยากจะนั่ง Realize แบบไม่ต้องมาโพสห่าเหวอะไร แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว
การได้มาเขียนอะไรไว้ซักหน่อยมันก็ทำให้เราได้กลั่นกรอง
และคิดถึงสิ่งที่เขียนลงไปได้ดีขึ้นแหะ

"ต้องทำทีละเรื่อง โฟกัสทีละเรื่องสินะ"

หลังจากนี้ ชีวิตมันจะต้องดีขึ้นแหละ ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยตอนนี้ใจก็เริ่มเชื่อละ

ตอนนี้ : อยากจะมีอะไรที่เจ๋งๆ และคนยอมรับได้จริงๆแหละ

ติว - 26ตุลา2020